history history
 
   
iconสถานการณ์ยางพาราปี 2559 [   ธันวาคม  2558 ]

 

สถานการณ์ยางพาราปี 2559  คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รัสเซีย  ยุโรป ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่อื่นๆ การลงทุนซบเซา การค้าชะลอตัว  รวมทั้งราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง  กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) คาดการณ์ว่าผลผลิตมวลรวมหรือจีดีพีโลกลดลงเป็น 3.5% ในปีนี้ และ 3.7% ในปี 2559  เศรษฐกิจสหรัฐยังคงสดใส แต่ยุโรปยังมีปัญหากับการผ่อนคลายภาวะเงินเฟ้อ  เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัว 1.2% ในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 1.4% ในปี 2559 ส่วนจีนจะขยายตัวลดลงอีกในปี 2559 เหลือ 6.3% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของจีนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย  เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 0.6% ในปีนี้ และปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.8% ในปี 2559  ส่วนราคาน้ำมันคาดว่าจะทรงตัวในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเติบโตในระดับต่ำ กอปรกับอุปทานล้นตลาด เนื่องจากผลผลิตจากกลุ่มโอเปกจะออกสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซบเซาลงไปด้วย

นอกเหนือจากปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจที่ได้กล่าวมาข้างต้น ยังมีปัจจัยด้านผลผลิต ความต้องการใช้และปริมาณส่วนเกินของยางธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคายางพารา โดยองค์การศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ(International Rubber Study Group) คาดการณ์ว่า ผลผลิตยางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.9 เปอร์เซ็นต์ เป็น 12.97 ล้านตันในปี 2559 เนื่องจากยางที่ปลูกไว้ในช่วงราคายางสูง จะเติบโตเต็มที่จนสามารถกรีดได้ ในขณะที่อุปสงค์ยางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น 4.3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 12.83 ล้านตันในปี 2559  ส่วน The Rubber Economist คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ยางของโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 1.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2558-2560  เนื่องจากความต้องการใช้ยางของจีนชะลอตัว ในขณะที่ความต้องการใช้ยางในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดียจะเติบโตในระดับต่ำ คาดว่าผลผลิตยางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น 3.5 เปอร์เซ็นต์เป็น 12.53 ล้านตันในปี 2558 และแตะระดับ 13.5 ล้านตันในปลายปี 2560  นอกจากนี้คาดการณ์ว่าอุปสงค์ยางธรรมชาติจะสูงกว่ายางสังเคราะห์ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ส่วนอุปทานส่วนเกินยางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะแตะระดับ 3.7 ล้านตันในปลายปี 2560 ในขณะที่ The Economist Intelligence Unit คาดการณ์ว่า สต็อกยางธรรมชาติของโลกจะลดลง 30.5 เปอร์เซ็นต์ และ 49.9 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ และคาดว่าสต็อกยางโลกอาจลดลงได้ถึง 1 ล้านตัน ในช่วงปี 2559-2560  จากสถานการณ์ราคายางตกต่ำ ส่งผลให้การผลิตหดตัว การกรีดลดลง และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญ่ในอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตามสมาคมยางพาราไทยยังคงมีความเห็นเชิงบวกว่า  ยางพารามีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และมีความร่วมมืออันเข้มแข็งระหว่างสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ(ITRC)  ตลอดจนภาครัฐไทยมีมาตรการและความพร้อมในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ  จึงคาดว่าจะทำให้สถานการณ์ยางพาราปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยโครงการที่น่าจับตามอง ได้แก่ การก่อตั้งตลาดยางภูมิภาค(ASEAN Regional Rubber Market) เพื่อทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงด้านราคา และช่วยให้สามารถสะท้อนราคายางที่เป็นธรรม ทําให้กลไกของอุปสงค์อุปทานขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และความร่วมมือในการส่งเสริมการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศผู้ผลิตปริมาณ 300,000 ตัน สำหรับการสร้างถนน  ยางกันกระแทกเรือ และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2559

                โดยสรุป สมาคมฯ คาดหวังความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน เกษตรกร รวมทั้งประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่ 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย  รวมทั้งประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ในการกำหนดแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางอย่างยั่งยืนตลอดไป    

                ในโอกาสศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2559 ผมขอส่งความปรารถนาดี และขออำนวยพรให้ท่านและครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ และความเจริญในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ

Signature
นายไชยยศ สินเจริญกุล
นายกสมาคมยางพาราไทย

 

 
 
สาส์นจากนายกทั้งหมด